วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2559

9 เคล็ดลับในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จด้วยตนเอง

หลายคนมักจะตีความและคิดกันไปเองว่า ธุรกิจจะประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว ต้องอาศัยและพึ่งการอุปถัมภ์ค้ำชูจากภายนอกเสมอไป ซึ่งสำหรับยุคปัจจุบันนี้ทฤษฏีดังกล่าวได้ถูกหักล้างความเชื่อในเรื่องนี้ไป ได้มากพอสมควรแล้ว เพราะการสร้างธุรกิจใหม่ให้เจริญเติบโตและประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้อง อาศัยแรงบวกจากภายนอกแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวของผู้ประกอบการเอง โดยเคล็ดลับ 9 วิธีสร้างความสำเร็จด้วยตนเองมีดังต่อไปนี้

1.มุ่งไปที่กระแสเงินสด กำไรเป็นเรื่องรอง

นักธุรกิจมักจะถูกสอนให้คิดในเรื่องของกำไรต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งจริงๆแล้วควรลองเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่และมุ่งสนใจไปที่กระแสเงินสดหมุน เวียนภายในบริษัทแทน อย่าลืมว่าต้องใช้เงินสดจ่ายบิล ถ้าเกิดมียอดเงินหมุนเวียนอยู่ภายในบริษัทตลอดและมีการจ่ายชำระหนี้ตรงตาม เวลา พยายามให้มีการเรียกเก็บเงินระยะสั้นๆ ปิดยอดได้ไวๆ เมื่อนั้นก็จะได้ผลกำไรตอบแทนกลับมาเอง

2.ประมาณการความต้องการและกำลังผลิตอย่างต่ำ

ผู้ประกอบการต้องทำการประเมินแนวโน้มความต้องการของตลาดเป้าหมายอยู่ตลอด เวลา จากนั้นจึงทำการกำหนดสัดส่วนความต้องการของธุรกิจบริษัท เช่น ถ้าบริษัทผลิตเกี่ยวกับเครื่องสำอางสตรีที่กลุ่มตลาดเป้าหมายที่ใช้เป็น ประจำอยู่ที่ 1 ล้านคน ประมาณการส่วนแบ่งการตลาดขั้นต่ำที่ต้องการได้คือ 10% นั่นหมายถึง 100,000 คน แล้วนำมาคิดด้วยกำลังการผลิตขั้นต่ำของทางบริษัทว่าสามารถทำได้อย่างน้อยกี่ ชิ้้นต่อวันแล้วนำไปหักลบกันให้เรียบร้อยเพื่อหากำลังการผลิตว่าสามารถตอบ สนองได้หรือไม่นั่นเอง

3.วางแผนการทดสอบ

ผลิตภัณฑ์ที่ดีต้องมีการทดสอบอย่างรอบด้าน ผู้ประกอบการควรออกแบบสร้างแผนทดสอบผลิตภัณฑ์ของบริษัทตนเองโดยเริ่มทดสอบใน ส่วนของคุณสมบัติส่วนตัวและแนวทางการจัดวางจำหน่ายเพื่อจะหาวิธีที่ดีที่สุด ในการทำตลาดและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ซึ่งอาจจะเลือกจากจุดเด่นที่ได้มาจากการทดสอบนำมาเป็นแผนแม่บทในการพัฒนาก็ ได้

4.ผลิตภัณฑ์สามารถพิสูจน์และยอมรับได้จริง

เป็นเรื่องสำคัญที่ผลิตภัณฑ์ที่จะนำออกวางจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคนั้น จะต้องสามารถพิสูจน์ได้จริงในเชิงประจักษ์โดยผ่านการทดสอบจากทีมงานผู้ เชี่ยวชาญเสียก่อน นอกจากนี้การยอมรับจากสถาบันวิจัยสำคัญยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและ บริการของผู้ประกอบการอีกด้วย

5.เริ่มต้นจากการเป็นธุรกิจบริการ

ธุรกิจบริการจะมีข้อดีตรงที่สามารถรับฟังความคิดเห็นของผู้บริโภคได้อยู่ ตลอดเวลา ซึ่งนั่นเป็นข้อได้เปรียบในเรื่องของข้อมูลข่าวสารอย่างมหาศาล โดยผู้ประกอบการสามารถนำข้อมูลดังกล่าวพัฒนาออกมาเป็นตัวผลิตภัณฑ์ที่ตรงตาม ความต้องการของผู้ใช้งานได้ เช่น บริษัทที่ผลิตแชมพูสระผมบางส่วนก็มีที่มาจากการเป็นร้านให้บริการในเรื่อง การตัดแต่งและสระผมมาก่อนด้วยกันทั้งนั้น

6.มุ่งเน้นไปที่ประโยชน์การใช้งานไม่ใช่รูปแบบ

ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าก็ต่อเมื่อมันสามารถตอบสนองต่อความต้องการของเขา ได้จริงๆไม่ใช่มองแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น ดังนั้นการมุ่งพัฒนาคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการของกลุ่มตลาด เป้าหมาย จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอันจะทำให้ธุรกิจของผู้ประกอบการสามารถสร้างรายได้ เป็นกอบเป็นกำกลับคืนมาสู่ธุรกิจของบริษัทภายในเวลาอันรวดเร็ว

7.จัดหาพนักงานให้เพียงพอ

บ่อยครั้งที่ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาจากการทำธุรกิจค่อนข้างที่จะน่าผิดหวัง เพราะมีที่มาจากจำนวนพนักงานที่ไม่เพียงพอบวกกับไม่มีความรู้ความสามารถโดย ตรงกับงานที่กำหนดไว้ ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องจัดหาพนักงานที่มีความรู้ และมีจำนวนพนักงานที่เพียงพอสำหรับรองรับการทำงานที่พร้อมจะเติบโตต่อไปใน อนาคตด้วย

8.ใช้วิธีขายตรงเป็นตัวเบิกทาง

การขายตรงเป็นวิธีการค้าขายที่เก่าแก่มากที่สุดในโลก ควรทดลองใช้วิธีดังกล่าวเป็นอันดับแรกในการทำตลาด เพราะจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถสัมผัสได้อย่างแท้จริงถึงปัญหาของผลิตภัณฑ์ ที่ได้รับจากกระแสตอบรับของผู้บริโภคโดยตรง และยังเป็นการตัดขั้นตอนในส่วนของพ่อค้าคนกลางที่เรียกรับผลประโยชน์ออกไป จึงทำให้ผู้ประกอบการได้กำไรที่เพิ่มมากขึ้นด้วย นอกจากนี้การค้าขายผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือที่เรียกว่า E Commerce ก็เป็นวิธีการขายตรงรูปแบบใหม่ที่น่าสนใจอยู่มิใช่น้อยในปัจจุบัน

9.จัดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ในตลาด

ถ้าผู้ประกอบการสามารถจัดอันดับตำแหน่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทตนเองได้นั่นจะ เป็นประโยชน์อย่างมากในการทำธุรกิจ เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่จะเลือกซื้อสินค้าที่เหมาะสมกับสถานะของตน เช่น ลูกค้าที่มีรายได้ต่างกันก็จะเลือกซื้อสินค้าที่มีราคาต่างกัน เป็นต้น ดังนั้นการจัดตำแหน่งผลิตภัณฑ์จึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการสมควรจะต้องพึง กระทำเพราะจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ขายได้ง่ายและในเวลาที่รวดเร็วมากขึ้นนั่นเอง
ต่อให้ธุรกิจของผู้ประกอบการจะมีผู้อุปถัมภ์ค้ำชูที่ยอดเยี่ยมสักเพียงใด ก็ตาม ที่สุดแล้วธุรกิจของผู้ประกอบการจะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องยืนอยู่บนลำแข้ง ของตัวเองให้ได้เสียก่อน เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงคงไม่มีใครที่จะคอยสนับสนุนธุรกิจอื่นๆไปได้โดย ตลอดอย่างแน่นอน ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องเป็นผู้สร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับกิจการนั่นเอง

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559

10 นักธุรกิจสร้างแรงบันดาลใจ (ตอนที่ 2)

หลังจากได้กล่าวถึงบุคคลผู้สร้างแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจ 5 ท่านก่อนหน้านี้ไปแล้วในตอนที่ 1 บทความนี้จึงกล่าวถึงนักธุรกิจและบุคคลผู้สร้างแรงบันดาลใจอีก 5 ท่าน เพื่อว่าเราจะได้นำแนวคิดและไอเดียต่างๆ มาประยุกต์ใช้ในกิจการให้ดำเนินก้าวหน้าและประสบความสำเร็จอย่างที่หวังไว้

6 เซอร์ริซาร์ต แบรนสัน


หลายคนน่าจะรู้จักเขาดีในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัทในเครือ Virgin (เวอร์จิ้น) อันโด่งดัง ซึ่งมีสาขาธุรกิจอยู่ทั่วทุกภาคพื้นภูมิภาคในโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย เซอร์ริชาร์ด แบรนสันถือเป็นนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ไฟแรงที่ประสบความสำเร็จในเรื่องธุรกิจมาก พอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำความคิดและความฝันมาสร้างให้เกิดขึ้นบนโลกแห่งความ เป็นจริง หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่านักขายฝันนั่นเอง เขาเริ่มธุรกิจครั้งแรกด้วยวัยเพียง 15 ปีจากการทำนิตยสารรายเดือนของมหาวิทยาลัย ซึ่งก็เหมือนกับนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอีกหลายคนที่ได้นำเสนอไปก่อน หน้านี้ซึ่งต่างเริ่มต้นทำธุรกิจด้วยอายุน้อยๆ กันทั้งนั้น จากนั้นจึงเริ่มลงหลักปักฐานอย่างจริงจังในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสื่อ บันเทิงและเสียงดนตรีแล้วขยับขยายไปสู่สื่อสารมวลชนแขนงอื่นๆ จากนั้นจึงพัฒนาธุรกิจกลายมาเป็นสายการบินเชิงพาณิชย์ในที่สุด นอกจากนี้เขายังเป็นเจ้าของธุรกิจกว่าอีก 360 บริษัท สิ่งที่เป็นจุดเด่นในการทำธุรกิจของเขาคือความอดทนและการมีเป้าหมายในการทำ ธุรกิจที่แน่วแน่มั่นคง พร้อมฟันฝ่าอุปสรรคทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายความฝันที่ตนเองได้วางเอาไว้ กล้าคิดทำธุรกิจที่บางคนอาจมองว่านอกกรอบ แต่สำหรับเขาถือเป็นความท้าทายจนต้องทำให้สำเร็จ และที่น่าสังเกตที่สุดก็คือแบรนสันมีความสุขอย่างที่สุดเวลาทำงานจึงทำให้ผล งานมีประสิทธิภาพตามมาด้วย และด้วยความที่เป็นคนไม่หยุดนิ่ง ผู้คนจึงมักให้ความสนใจเขาอยู่เสมอ ไม่ว่าเขาจะขยับไปทางไหนก็เป็นข่าว จึงกลายเป็นการประหยัดงบประมาณการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ไปในตัวอีกด้วย

7.เฮนรี่ ฟอร์ด

 

อีกหนึ่งตัวอย่างของคำว่าถึงตัวตายแต่ชื่อยังคงอยู่ได้เป็นอย่างดี ฟอร์ดมีอายุอยู่ในช่วงราวปีพุทธศักราช 2406-2490 เขาโดดเด่นมากในบทบาทของนักประดิษฐ์ ผู้นำสิ่งประดิษฐ์เข้ามาปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและการจัดจำหน่ายสินค้าจน เกิดเป็นกระบวนการทางธุรกิจขึ้นมา ถือเป็นต้นแบบสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจที่มีความคิดและไอเดียในการสร้างสิ่ง ประดิษฐ์มาขาย นอกจากนี้เขายังเป็นนักธุรกิจที่ยอดเยี่ยมและครบเครื่องไปเสียทุกด้าน จุดเด่นหนึ่งในนั้นคือเรื่องของวิสัยทัศน์ โดยเฉพาะการเข้าใจตลาดอย่างแท้จริงในเรื่องดีมานด์และซัพพลายของระบบ เศรษฐกิจ เพราะไม่ว่าเขาจะทำอะไรออกมาก็สามารถขายได้หมดและยังได้ราคาดีที่สุดอีกต่าง หาก และเขายังเป็นปรมาจารย์ด้านลดต้นทุนการผลิตเพื่อให้สินค้ามีราคาถูกลง ทำให้สามารถกระจายสินค้าไปยังผู้บริโภคได้ทุกกลุ่มและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น นั่นเอง สิ่งเหล่านั้นทำให้เฮนรี่ ฟอร์ดคือผู้เข้าใจกลไกทางตลาดอย่างแท้จริง

8.จอร์จ โซรอส

 

ฉายาพ่อมดทางการเงินถือเป็นใบประกันความสำเร็จในการทำธุรกิจของเขาได้ เป็นอย่างดี คนไทยจำนวนมากคงจดจำชื่อของราชาทางการเงินจอร์จ โซรอสผู้นี้ได้อย่างไม่มีวันลืมเลือนอย่างแน่นอน เพราะเขาผู้นี้ได้โจมตีค่าเงินบาทไทยจนนำไปสู่ภาวะวิกฤตที่ทั่วโลกขนานนาม ว่าต้มยำกุ้ง เขาถือเป็นผู้ร้ายในสายตาคนไทยมานานจากวิกฤตการณ์ครั้งนั้น แต่หากลองมองดูให้ลึก แยกเรื่องส่วนตัวและความเป็นชาตินิยมออกมาก็จะเห็นว่าโซรอสมีจุดดีที่สามารถ นำมาเป็นแบบอย่างในการสร้างแรงบันดาลใจได้ ซึ่งความเด่นที่สุดของเขาคือการวางแผนทางการเงินบวกกับความสามารถในการ พยากรณ์ความน่าจะเป็นของตลาดทุนภายในอนาคตได้โดยอาศัยปัจจัยทางด้านข้อมูลมา เป็นตัววิเคราะห์ จากความสามารถที่กล่าวมาทำให้เขาสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาลจากการเก็งกำไร ค่าเงิน นอกจากนี้ความสามารถเรื่องการฉกฉวยช่วงชิงเมื่อคู่ต่อสู้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น ก็เป็นคุณสมบัติที่เขามี อีกทั้งยังมีวิญญาณเพชฌฆาตที่พร้อมเข้าขย้ำเหยื่อทางธุรกิจโดยปราศจากความ ปรานี ซึ่งเราอาจนำมาเป็นแบบอย่างในการทำธุรกิจในยุคปัจจุบันก็เป็นได้

9.มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก

 

ชื่อนี้อาจทำให้ใครหลายคนเกิดความฉงนสงสัยว่าเขาผู้นี้เป็นใครกัน แต่หากถามว่ารู้จักเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ชื่อว่า Facebook หรือไม่ ฟันธงได้เลยว่ากว่าร้อยละ 90 ต่างรู้จักและก็ใช้งานกันอยู่ในปัจจุบันด้วย และบุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจอันดับที่ 9 ก็คือมาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้สร้างเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อว่า Facebook นั่นเอง เขาจัดเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในสหรัฐอเมริกาด้วยอายุเพียง 24 ปีเท่านั้น แต่สิ่งที่น่าสนใจคือแนวคิดในการทำธุรกิจของเขาซึ่งเข้าขั้นเทพเลยทีเดียว เขาเลือกจะไม่คิดค่าตอบแทนเลยสักบาทเดียวอันเป็นแนวความคิดทางการตลาดเรื่อง การแบ่งปันช่วยเหลือกัน แม้ว่าหลายบริษัทพยายามเสนอเงินจำนวนมหาศาลเพื่อขอซื้อเว็บไซต์จากเขา แต่เขาก็ปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าเขาต้องการสร้างสิ่งที่อยู่ได้ในระยะยาว และเขาไม่สนสิ่งอื่นใดนอกจากนั้น ซึ่งความคิดที่เห็นว่าการสร้างพึงพอมีคุณค่ากว่าเงินก็สามารถนำมาปรับใช้ในการทำธุรกิจยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี

10.ลี กาชิง

 

ลี กาชิง นักธุรกิจชาวจีนเจ้าของสมญานาม "ซูเปอร์แมน" คืออีกหนึ่งตำนานนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จบนเวทีระดับโลกอย่างแท้จริง ลี กาชิงเกิดที่ประเทศจีนก่อนจะเดินทางเข้ามาในเขตการปกครองพิเศษฮ่องกงในยุค ที่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักรในฐานะผู้ลี้ภัย เรื่องราวชีวิตของเขาน่าสนใจมากและยังมีส่วนสร้างแรงบันดาลใจให้นักธุรกิจ สายเลือดใหม่หลายต่อหลายคน เขาต้องออกจากโรงเรียนเมื่ออายุ 15 ปี เพื่อรับหน้าที่เสาหลักในการดูแลแม่และน้องๆ แทนพ่อที่เสียชีวิต กาชิงคือต้นแบบของผู้ทำงานหนักตั้งแต่เป็นหนุ่ม เขาเริ่มตั้งบริษัทแห่งแรกเกี่ยวกับอุตสาหกรรมพลาสติกตั้งแต่อายุยังไม่ทัน ครบ 30 ปี จากนั้นจึงเริ่มขยับขยายธุรกิจไปยังสาขาอื่นๆ โดยมีบริษัท Cheung Kong (Holdings) เป็นบริษัทแม่ และยังเป็นเจ้าของบริษัท Hutchison Whampoa Ltd. และบริษัทอื่นๆ ที่อยู่ในเครืออีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งกลุ่มบริษัทของเขาคือผู้ทรงอิทธิพลอย่างแท้จริงด้านการสื่อสารทั้งใน ฮ่องกง จีน และยุโรป มีทรัพย์สินมากกว่าสามหมื่นสี่พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ลักษณะเด่นของเขาในการทำธุรกิจคือความกล้าได้กล้าเสีย พร้อมจะลงทุนทำสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้เขายังชอบอ่านหนังสือเพื่อศึกษาหาความรู้เป็นประจำอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นหนอนหนังสือตัวยงเลยทีเดียว ปัจจุบันบริษัทของเขาคือผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ในระบบ 3G ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยในรอบปีที่ผ่านมาบริษัทฮัทชินสันของเขามีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นถึง 40%
สองสิ่งที่ผู้ประกอบการหน้าใหม่มีเหมือนและเท่าเทียมกับบุคคลทั้ง 10 ผู้สร้างแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจก็คือ หนึ่ง ลมหายใจที่จะใช้ในการสร้างสรรค์สิ่งต่างให้เกิดขึ้นด้วยตนเอง และสอง เวลาในการทำความฝันให้เป็นความจริง ทั้งสองสิ่งนี้คือหัวใจและองค์ประกอบสำคัญที่มีในผู้ประกอบการทุกคน อยู่ที่ว่าผู้ประกอบการจะสามารถนำทั้งสองอย่างนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ แค่ไหนและอย่างไรนั่นเอง

นักธุรกิจร้อยล้าน

 
ความฝันของคนจำนวนมากมากที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ  การได้เป็น   เจ้าของธุรกิจ   เพราะนั่นคือหนทางที่สำคัญ  และอาจเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาร่ำรวย  มีชื่อเสียง  และได้รับการนับหน้าถือตา  คนหนุ่มสาวอายุยังไม่ครบสามสิบปีถ้าสามารถมีธุรกิจขนาด  ร้อยล้านบาท  ก็กลายเป็นเรื่องฮือฮาสามารถนำไปเขียนเป็นเรื่องราวของความสำเร็จที่น่าทึ่งและน่ายกย่องได้   นักธุรกิจ  พันล้าน  เวลามีเรื่องราว  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายหรือเรื่องซุบซิบในสังคมก็จะเป็นข่าวใหญ่มีคนติดตามกันมาก   สถานะของการเป็นเจ้าของธุรกิจ   ร้อยล้านหรือ พันล้านบาทในสังคมไทยนั้น   ดูสูงส่งจน  คนธรรมดาไม่อาจเอื้อมถึง   คนกินเงินเดือนที่ไม่ใช่ผู้บริหารชั้นสูงและไม่ใช่คนที่มีทรัพย์มรดกมากมายนั้น  มักจะไม่กล้าแม้แต่จะฝันที่จะเป็นนักธุรกิจ  ร้อยล้าน   แต่สำหรับผมแล้ว   นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด  เรา  ผมหมายถึงคนที่สนใจในการลงทุนแบบ  Value Investment  ต้องเปลี่ยนความรู้สึกแบบนี้  เราต้องกล้าฝันที่จะเป็นนักธุรกิจ ร้อยล้าน  หรือแม้แต่  พันล้าน
คำว่านักธุรกิจ  ร้อยล้านหรือ พันล้านบาทที่นักข่าวหรือนักเขียนบทความพูดถึงในหน้าหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารนั้น    ถ้าจับความให้ดีก็จะพบว่ามันคือ   ยอดขายสินค้าของธุรกิจ  และถ้ามองลึกลงไปอีกก็จะพบว่าบ่อยครั้งมีการ  ปัดเศษ  นั่นคือ  ถ้ายอดขายประมาณปีละ 60-70 ล้านบาท  ก็ตีว่าเป็นร้อยล้านบาท   ถ้ายอดขายตั้งแต่ 500-600 ล้านบาท ก็เรียกว่าเป็นนักธุรกิจพันล้านได้แล้ว  มัน ไม่เคยมีความหมายเลยว่านักธุรกิจคนนั้นมีเงินของตนเองหรือมีทรัพย์สินที่ เป็นส่วนของเจ้าของบริษัทที่ถือว่าเป็นความมั่งคั่งส่วนตัวเป็นร้อยหรือพัน ล้านบาทจริง ๆ     ยอดขายของบริษัทหรือธุรกิจปีละร้อยหรือพันล้านบาทนั้น   บอกอะไรเกี่ยวกับความมั่งคั่งน้อยมาก   เช่นเดียวกัน  มันไม่ได้บอกถึงความสามารถของเจ้าของกิจการอะไรนัก    มันอาจจะเป็นแต่เพียงความ  เท่ที่ กินไม่ได้   ว่าที่จริงในหลาย    กรณี  มันเป็นความกลัดกลุ้มโดยเฉพาะถ้าธุรกิจนั้นกำลังประสบปัญหาและมีหนี้สินล้นพ้นตัวที่เจ้าของจะต้องรับผิดชอบด้วย
วิธีที่จะเป็นเศรษฐีหรือนักธุรกิจ  ร้อยล้าน  ของผมก็คือ  แทนที่เราจะเริ่มต้น  สร้างธุรกิจเองซึ่งต้องอาศัยสิ่งต่าง ๆ  มากมาย  ตั้งแต่ความรู้ความสามารถ  ทักษะในการบริหารงาน  และเงินทุนก้อนใหญ่  เราสามารถ  ซื้อ  ธุรกิจได้   และที่ ๆ  เราจะไปซื้อกิจการก็คือ  ตลาดหุ้น    แน่นอน   เราไม่ได้ซื้อทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์   ที่จริงเราอาจจะซื้อแค่ไม่กี่ร้อยหรือไม่กี่พันหุ้นซึ่งไม่ถึง  .0001%  ด้วยซ้ำ   แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ   เพราะธุรกิจที่เรา  ทำ  นั้นใหญ่มาก   ยอดขายปีละเป็นแสนหรือหลายแสนล้านบาท  เราจะเป็นเจ้าของคนเดียวได้อย่างไร   แต่ไม่ว่าเราจะซื้อเท่าไร   เราก็ถือว่าเราเป็นเจ้าของอยู่ดี   ส่วนของยอดขายของบริษัทนั้น   บางส่วนก็ต้องเป็นของเรา  กำไรของบริษัทบางส่วนก็ต้องเป็นของเรา   ว่าที่จริง  ทุกอย่างของบริษัทนั้น  เรามีส่วนเป็นเจ้าของเท่ากับสัดส่วนการถือหุ้นของเรา 
ดังนั้น  ถ้าบริษัท ก. มีหุ้นทั้งหมดเท่ากับ  100  ล้านหุ้น  และเราถือหุ้นบริษัทนี้จำนวน  1 ล้านหุ้นหรือ 1% ของบริษัท ในราคาที่เราซื้อหุ้นละ 1 บาทซึ่งเท่ากับว่าเราลงทุนไป  1  ล้านบาท   แต่บริษัทมียอดขายปีละ  500  ล้านบาท  สัดส่วนของเรา  1%  ก็เท่ากับว่าธุรกิจนี้ที่เรา  ทำ  มียอดขายในส่วนของเราเท่ากับ 5 ล้านบาท   และนั่นเป็นหุ้นเพียงตัวเดียว   แต่ถ้าเราสะสมหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ทุกครั้งที่เรามีเงินเพิ่มไม่ว่าจะมาจากเงินเดือน  โบนัส   เงินปันผล  หรือแม้แต่เงินที่ได้จากการขายหุ้นตัวหนึ่งแล้วมาลงทุนซื้อหุ้นอีกตัวหนึ่ง เราก็จะมีหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  เป็นพอร์ตโฟลิโอ    ในวันแรก ๆ  ที่เราเริ่มลงทุนนั้น   เราอาจจะเป็น  นักธุรกิจขนาดย่อม  เป็นนักธุรกิจเงินแสน   แต่ถ้าเรามีความมุมานะ   มีความตั้งใจที่จะ สร้างธุรกิจให้เติบใหญ่ขึ้น  เป้าหมายของเราอาจจะตั้งไว้ปีละ  10-15%  ซึ่งดูไม่มากและไม่เกินกำลัง   แต่ถ้าเราทำไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องสนใจกับภาวะตลาดหุ้น   วันหนึ่งเราก็อาจจะพบว่า   ยอดขาย  ของธุรกิจหลาย ๆ  อย่างของเรารวมกันมีมูลค่าถึง 60-70 ล้านบาท   และนั่นเราก็สามารถพูดได้ว่าเราเป็น   นักธุรกิจร้อยล้าน  บาทแล้ว   แน่นอน  มูลค่าของพอร์ตหุ้นของเราอาจจะมีค่าเพียงแค่  15-20 ล้านบาท   แต่นั่นก็ไม่ได้แตกต่างจาก   นักธุรกิจร้อยล้าน  ที่ทำธุรกิจเดียว   ถือหุ้นอยู่ตัวเดียว  และเป็นผู้บริหารเอง
การเป็น  นักธุรกิจร้อยล้าน  ในตลาดหุ้นนั้น   ก็เช่นเดียวกับ  นักธุรกิจร้อยล้าน  นอกตลาดหุ้น   นั่นคือ  มูลค่าของความมั่งคั่งส่วนตัวจริง ๆ  อาจจะเป็น  100 ล้านบาทหรืออาจจะเป็นแค่  10-20 ล้านบาทก็ได้   มันขึ้นอยู่กับว่าคุณทำธุรกิจอะไร   ธุรกิจนั้นมีกำไรดีมากน้อยแค่ไหน   ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ  ธุรกิจที่ทำนั้นมีศักยภาพในการที่จะเติบโตและทำกำไรมากน้อยแค่ไหนในอนาคต   เพราะนั่นจะเป็นตัวที่ชี้ว่า  ในอนาคต   คุณจะมีโอกาสเลื่อนอันดับจากเศรษฐีหรือนักธุรกิจจากสิบ  เป็นร้อย  จากร้อยเป็นพันล้านบาทได้หรือไม่  
 เขียนถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึง  Value Investor  หนุ่มสาวหลายคนที่ผมรู้จัก  คนเหล่านี้เริ่มต้นด้วยการทำ  ธุรกิจขนาดย่อม  ในตลาดหุ้น  เดี๋ยวนี้หลายคนกลายเป็น  นักธุรกิจร้อยล้านไปแล้วทั้งที่อายุยังไม่ครบสามสิบปี   แน่นอน   นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ยังเป็นนักธุรกิจขนาดย่อมอยู่  บางคนก็โตขึ้นเรื่อย ๆ  กลายเป็นนักธุรกิจขนาดกลาง   หลายคนก็ประสบปัญหา  ล้มหายตายจาก  ก็มี   ความสามารถและโชคคงมีส่วนไม่น้อยต่อความสำเร็จและล้มเหลวเช่นเดียวกับนักธุรกิจนอกตลาดหุ้น    ไม่มีใครรู้ว่า  ระหว่างนักธุรกิจนอกตลาดกับนักธุรกิจในตลาดหุ้น  ใครประสบความสำเร็จมากกว่ากัน 
ในความคิดผมก็คือ  ถ้าคุณเป็น  นักปฏิบัติ  โอกาสสำเร็จในการเป็นนักธุรกิจนอกตลาดจะสูงกว่า   แต่ถ้าคุณเป็น   นักคิด   การเป็นนักธุรกิจในตลาดน่าจะมีโอกาสสำเร็จสูงกว่า    ไม่ว่าจะกรณีใด  การเป็นนักธุรกิจในตลาดหุ้นนั้น   ดูเหมือนว่าจะทำได้ง่ายและความเสี่ยงน่าจะต่ำกว่าธุรกิจนอกตลาดหุ้น   เหตุผลก็คือ  ในการทำธุรกิจนอกตลาดหุ้นนั้น  เรามักต้องทุ่มทุกอย่างแม้แต่จิตวิญญาณลงไปในธุรกิจ  และการถอยหนีมักจะหมายถึงหายนะ  ในขณะที่การทำธุรกิจในตลาดหุ้นนั้น  เรามีทางเลือกมากมายและมีการกระจายธุรกิจไปในหลาย ๆ  อย่าง   ทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า  เราซื้อหุ้นในตลาดเพื่อเป็นการลงทุน  ทำธุรกิจ  ไม่ใช่การ  เล่นหุ้น   

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559

10 นักธุรกิจสร้างแรงบันดาลใจ(ตอนที่1)

นับแต่อดีตจวบจนยุคปัจจุบันก็เป็นเวลาหลาย ศตวรรษที่มนุษยชาติได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมการสร้างวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ สิ่งหนึ่งที่สามารถพบเห็นได้ตลอดเวลาและไม่เคยสูญสิ้นไปจากสังคมอารยชนผู้มี ความเจริญเลยนั้นคือ "ผู้นำ" ซึ่งบุคคลที่เป็นผู้นำในที่นี้มีความแตกต่างกันไปตามบทบาทและ หน้าที่ 
แต่การจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการทำธุรกิจได้ นั้นใช่จะทำกันได้ง่ายๆ เพราะต้องใช้สติปัญญาในการทำงานบวกกับความมานะอุตสาหะและประสบการณ์ด้าน ธุรกิจอีกมากมายนับไม่ถ้วน กว่าจะก้าวมายืนในจุดที่ทุกคนในสังคมให้การยอมรับและยกย่องให้เป็นผู้นำใน โลกธุรกิจอย่างแท้จริง ซึ่งเกร็ดการใช้ชีวิตของบุคคลในโลกธุรกิจต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับนักธุรกิจมือใหม่ที่ต้องการ ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน เพื่อศึกษาว่านักธุรกิจผู้เก่งกาจมีวิธีการคิดและดำเนินธุรกิจอย่างไรประสบ ความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ตลอดกาล

                               1.บิลล์เกตส์

 

แน่นอนว่าเมื่อเราเอ่ยถึงผู้ประสบความสำเร็จ วงการทำธุรกิจ ชื่อแรกที่วิ่งเข้ามาในความคิดของใครหลายคนคงต้องนึกถึงบิลล์ เกตส์ (Bill Gates) มหาเศรษฐีเจ้าของอาณาจักรไมโครซอฟท์ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้เป็นแน่แท้ โดยเฉพาะเรื่องทรัพย์สินจำนวนมหาศาลของเขาที่ได้รับการกล่าวถึงเป็นอย่างมาก แต่เหนือสิ่งอื่นใดทรัพย์สมบัติดังกล่าวเกิดขึ้นจากการทำงานหนักและใช้สติ ปัญญาอันชาญฉลาดพร้อมแนวความคิดใหม่ๆ ในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นแนวคิดทำธุรกิจง่ายๆ แต่ลึกซึ้งได้ใจความว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนเราทุกคนมีคอมพิวเตอร์ราคาถูกใช้กัน” นั่นเป็นเหตุให้หนุ่มน้อยบิลล์วัยเพียงยี่สิบกว่าๆ ออกตาม ล่าและสร้างความฝันให้เป็นจริง เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยทันที และจุดนั่นได้กลายเป็นปฐมบทความยิ่งใหญ่ฉากแรกของผู้ชายที่ชื่อบิลล์ เกตส์ที่ไม่ยอมปล่อยให้ความฝันเป็นเพียงแค่ความคิดแต่กลับลงมือทำให้เกิด ขึ้นจริง บวกกับความเพียรพยายามศึกษาหาความรู้และทุมเทความสนใจในสิ่งที่ตนเองรักและ ชื่นชอบตั้งแต่เด็ก นอกจากนี้เขายังถือเป็นผู้ให้การสนับสนุนงานด้านการกุศลเพื่อสังคมที่มีชื่อ เสียงมากที่สุดของโลกคนหนึ่งด้วย นั่นจึงเป็นสิ่งที่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างมากที่สุดสำหรับผู้ต้องการสร้าง ธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

                          2.วอร์เรน บัฟเฟตต์


ชื่อนี้เป็นชื่อที่สามารถการันตีความสำเร็จในการทำธุรกิจของชายที่ชื่อ วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้เป็นอย่างดี เขาเป็นบุรุษที่เกิดก่อนสงครามโลก แต่กลับเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในตลาดหลักทรัพย์ยุคดิจิตอล ปัจจุบันเขาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และซีอีโอของบริษัท เบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ และนักธุรกิจรุ่น GEN-Y สมควรต้องศึกษาแนวทางในการดำเนินธุรกิจของบัฟเฟตต์ในเรื่องการมีวิสัยทัศน์ และความอดทนในการทำธุรกิจ เพราะทั้งสองสิ่งถือว่ามีความสำคัญมากหากอยากจะให้บริษัทของตนประสบความ สำเร็จในแวดวงนี้ โดยบัฟเฟตต์ถือคติในการทำธุรกิจที่อาจแปลเป็นสุภาษิตไทยได้ว่า “ช้าๆ แต่ได้พร้าเล่มงาม” นั่นหมายถึงมีความอดทนในการทำธุรกิจ ไม่เร่งรีบหรือหักโหมมากเกินไปนัก ค่อยทำกำไรทีละเล็กทีละน้อยและสะสมมูลค่าไปเรื่อยๆ นอกจากนี้ในเรื่องการมีวิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจเป็นสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ควรมองหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจซึ่งมีแนวโน้มในการสร้างกำไรระยะยาวมากกว่า ที่จะมองธุรกิจที่ให้กำไรมากแต่เป็นเพียงแค่ภาพมายาและมีวงจรที่สั้นมาก และให้พยายามเดินสวนกระแสในบางครั้งหากมีโอกาส นอกจากนี้ปรัชญาการใช้ชีวิตที่สมถะของเขาก็เป็นสิ่งที่ควรนำมาเป็นตัวอย่าง ในการใช้ชีวิตของผู้ประกอบการธุรกิจรายใหม่ซึ่งไม่ควรทะเยอทะยานหรือตั้ง เป้าหมายเกินตัวมากไป คำกล่าวอมตะของเขาคือ “ผมจะไม่พยายามกระโดดข้ามที่สูง 7 ฟุต แต่ผมจะมองหาคานไม้ที่สูง 1 ฟุตเพื่อให้ผมสามารถเดินข้ามได้อย่างสบายๆ”


                              3.รัศมี มิททาล

 

รัศมี มิททาล หนุ่มใหญ่ชาวอินเดียวัย 57 ปี เป็นอีกหนึ่งบุคคลต้นแบบในการทำธุรกิจที่ชาวเอเชียภาคภูมิใจ รัศมีเข้ามาสานต่อการดำเนินงานธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเหล็กของครอบครัว ที่เริ่มแรกเป็นพียงบริษัทยักษ์ใหญ่ภายในอินเดียเท่านั้น แต่หลังจากที่เขาเข้ามาบริหารธุรกิจและกำหนดทิศทางให้กับบริษัทเสียใหม่โดย เน้นทำธุรกิจกับต่างประเทศมากขึ้น บริษัทก็ค่อยๆเติบโตกลายเป็นบริษัทข้ามชาติที่น่าเกรงขามจนดำเนินธุรกิจใน กว่า 60 ประเทศ มีพนักงานมากกว่า 320,000 คน มีทรัพย์สินมากกว่า 4 หมื่นล้านเหรียญดอลลาห์สหรัฐ สิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จคือการมีวิสัยทัศน์ที่ไม่ได้มองและจำกัดตัว เองแค่การทำธุรกิจแต่ในประเทศ แต่มองว่าทั้งโลกต่างหากคือตลาดที่แท้จริง และส่งออกเหล็กซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทไปทั่วทุกมุมโลก นอกจากนี้รัศมียังเข้าซื้อธุรกิจชั้นนำทั้งในยุโรปและอเมริกาเพื่อรองรับการ เติบโตของธุรกิจในเครือบริษัท เขาจึงเป็นชาวเอเชียผมสีดำที่ฝรั่งหัวทองให้ความเคารพมากที่สุดคนหนึ่งในแวด วงธุรกิจทั่วโลก

                               4.ฮาวเวิร์ด ฮิวจ์



ชื่อนี้เป็นอีกชื่อหนึ่งที่ผู้คนทั่วโลกต่าง รู้จักกันดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Aviator ซึ่งรับบทโดยลีโอนาร์โด ดิแคปริโอ และมีผู้กำกับยอดฝีมือระดับตำนานอย่างมาร์ติน สกอร์เซซี่ นั้นยิ่งทำให้ชื่อของฮาวเวิร์ด ฮิวจ์ได้รับความสนใจและน่าติดตามมากกว่าเดิมหลายเท่าตัวนัก ถึงแง่คิดในการทำธุรกิจที่พกพาความมั่นใจอันเต็มเปี่ยมจนบางครั้งอาจจะดู แปลกแยกอยู่สักหน่อยก็ตาม แต่สิ่งซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจอันเกิดจากการศึกษาชี วิตฮิวจ์ได้คือเรื่องความพยายามทุ่มเทในการทำธุรกิจซึ่งไม่ว่าเขาจะสนใจใน เรื่องใดก็ตาม เขาจะทำธุรกิจด้วยความทุ่มเทและใส่ใจทุกรายละเอียดจนกว่างานนั้นจะสำเร็จ เสร็จสิ้น แม้ว่าต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายขนาดไหนก็ตาม เขาเป็นอีกผู้หนึ่งที่สามารถทำตามความฝันทุกเรื่องให้ประสบความสำเร็จได้ ทุกอย่าง แม้บางสิ่งที่เขาทำจะเป็นเรื่องแปลกแยกและแตกต่างในความคิดของคนปกติทั่วไป ก็ตาม

                          5.คัตสึอากิ วาตานาเบ

 

เขาผู้นี้คือซีอีโอที่ทุกองค์กรธุรกิจต่าง ต้องการคว้าตัวมาร่วมงานด้วย และคือขุนพลคนสำคัญผู้ปิดทองหลังพระอย่างแท้จริงในความสำเร็จอย่างท่วมท้น ของบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ อุตสาหกรรมรถยนต์รายที่สุดในโลกจากแดนอาทิตย์อุทัย วาตานาเบถือเป็นบุคคลที่น่าจับตามองมากที่สุดคนหนึ่งของสายงานการบริหาร เขาเติบโตมาจากตำแหน่งเล็กภายในบริษัทผ่านสายงานทุกระดับชั้นจนก้าวขึ้นมา สู่จุดสูงสุดภายในบริษัท สิ่งที่น่าศึกษาและควรนำมาเป็นตัวอย่างของวานาตาเบคือแนวความคิดและการ ดำเนินกลยุทธ์ ว่าเขามีวิธีการอย่างไรในการผลักดันให้โตโยต้าสามารถเป็นอันดับหนึ่งของวง การรถยนต์ได้ โดยแนวความคิดในการทำธุรกิจที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษของเขาคือการลดต้น ทุนบริษัทเพื่อให้ได้กำไรที่สูงขึ้นโดยไม่ไปกระทบกระเทือนต่อประสิทธิภาพและ ชื่อเสียงของบริษัท เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการควรให้ความสนใจเป็นพิเศษเพื่อนำไปปรับใช้เข้ากับ ธุรกิจของตนเองในที่สุด
สำหรับอีก 5 บุคคลผู้สร้างแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจสามารถติดตามได้ในตอนที่ 2

10 นิสัยสุดเจ๋ง ที่นักธุรกิจอายุน้อยมีเหมือนกัน จนประสบความสำเร็จ

ถ้าพูดถึงมหาเศรษฐีหมื่นล้าน เราก็มักจะมองไกลไปถึงคนที่มีอายุวัยทำงานมานาน และผ่านประสบการณ์มาเยอะจนประสบความสำเร็จได้ถูกต้องไหมคะ แต่ในปัจจุบันนี้มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทำให้สิ่งที่น่าจับตามองคือคลื่นลูกใหม่ที่กำลังก้าวเข้ามาแทนที่ และสามารถตอบโจทย์โลกแห่งเทคโนโลยีนี้จนประสบความสำเร็จได้ในเวลาอันสั้น คำถามที่หลายคนอยากรู้คำตอบก็คือ พวกเขาทำได้ยังไง และมีความคิดอย่างไรในการมองธุรกิจ ถึงได้กล้าทำ กล้าเสี่ยงที่จะลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อยแบบนี้ งั้นอย่ารอช้าเราไปติดตามเรื่องน่าสนใจ 10 นิสัยสุดเจ๋ง ที่นักธุรกิจอายุน้อยมีเหมือนกัน จนประสบความสำเร็จ นี้พร้อมๆ กันเลยค่ะ

10 นิสัยสุดเจ๋ง ที่นักธุรกิจอายุน้อยมีเหมือนกัน จนประสบความสำเร็จ

                                         มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก Mark Zuckerberg
1. ทำ “เร็ว”
ทุก คนมีไอเดียดีๆ ได้โดยเฉพาะนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงที่เพิ่งจบ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้าตัดสินใจทำมันได้ “ไว” พอก่อนที่คนอื่นจะทำไอเดียนั้นให้เป็นจริงก่อนคุณ ลองนึกภาพสิ ถ้า มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก Mark Zuckerberg สร้างเฟสบุ๊ก Facebook ช้ากว่านั้นอีกซัก 2-3 ปี มันจะเป็นอย่างไร เขาอาจจะไม่เกิดเลยก็ได้ เพราะฉะนั้น พอได้ไอเดียแล้ว “ทำทันที” เพราะเวลาไม่เคยคอยใคร

                                                   สตีฟ จอบส์ Steve Jobs
2. สร้าง “ทีม” ให้แกร่ง
ไม่ ว่าคุณอยากจะสร้างอาณาจักรที่แข็งแกร่งขนาดไหน แต่จะทำให้สำเร็จได้เพียงลำพังนั้น เป็นเรื่องที่ยากมาก สิ่งสำคัญที่จะคอยช่วยเหลือและสนับสนุนเราก็คือ “ทีม” ตอนที่ Steve Jobs ก่อตั้ง Apple เขาไม่ได้สร้างมันขึ้นมาคนเดียว ทีมของเขา ช่วยเขาสร้างมันขึ้นมา และช่วยเหลือเขา เพราะไม่มีใครเก่งไปซะทุกอย่างหรอก เชื่อสิ จนวันที่สตีฟ จอบส์ไม่อยู่ ทีมงานที่อยู่ทุกคนก็สามารถพา Apple ขับเคลื่อนไปในทิศทางที่เขาวางไว้ได้




                                                             Google
3. ไม่หยุดอยู่กับที่ ให้ความสำเร็จ “สร้าง” ความสำเร็จไปเรื่อยๆ
นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไม Google ไม่หยุดอยู่แค่ Google แต่เขายังเป็นเจ้าของเว็บไซต์อื่นๆ อีก อาทิ YouTube เพราะนักธุรกิจเหล่านี้ ไม่ยอมหยุดอยู่กับที่ถึงแม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จไปแล้ว เขาเอาความสำเร็จที่เกิดขึ้น สร้างความสำเร็จต่อไปไม่หยุดสิ้น

แจ็ค หม่า Jack Ma
4. พวกเขาเป็นนักคิดอิสระ
แจ็ค หม่า Jack Ma นักธุรกิจหมื่นล้านคนจีน ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ อาลีบาบา Alibaba คือตัวอย่างที่ดี ตอนที่เขามีไอเดียเว็บไซต์นี้ตอนแรก เขาเชิญเพื่อนนับยี่สิบคนมาที่บ้าน เพื่อเล่าไอเดียให้ฟัง มีเพียงคนเดียวที่เห็นด้วย นอกนั้นคัดค้านหมด และแนะนำให้เขาอย่าลาออกจากงานเพื่อทำสิ่งนี้ และวันนี้เขาก็ทำสำเร็จ เพราะการยืนหยัดในความคิดของตัวเองในวันนั้น และไม่กลัวที่จะยืนอยู่คนเดียว นับเป็นลักษณะนิสัยที่พบบ่อยของคนที่จะประสบความสำเร็จ
5. ฝันให้ “ใหญ่” ไว้ก่อน!
คน พวกนี้ไม่เคยฝันอะไรเล็กๆ เขาคิดการใหญ่ และไม่เคยให้ความยิ่งใหญ่ของมันมาทำให้เขากลัว โดยในทุกๆ วันเขาจะทำสิ่งเล็กๆ ทีละก้าวที่เขาทำได้ แต่สายตาต้องมองไปที่เป้าใหญ่ปลายทางเสมอ เพื่อไม่ให้เขาหลงทาง
6. ทำสิ่งที่พวกเขาปราถนา
คน เราจะประสบความสำเร็จได้ ไม่ใช่ทำสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ หรือฝืนทำ แต่เขาต้องทำในสิ่งที่เขาสนใจ สิ่งที่เขารัก เพราะบางที การที่ไอเดียหนึ่งๆ ดีนั้น แต่มันอาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคน อาทิ ตอน Steve Jobs พยายามโน้มน้าวให้เพื่อนของเขา John Sculley ที่มีการงานมั่นคงใน Pepsi ออกมาร่วมงานกับเขาใน Apple นั้น เขาบอกเพื่อนเขาว่า “นายอยากทำงานขายน้ำอัดลมไปตลอดชีวิต หรือนายอยากมาเปลี่ยนโลกกับฉัน” ซึ่งนั่นเป็นคำพูดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น และรักในสิ่งที่เขากำลังจะทำมากเลยทีเดียว!
7. มุ่งมั่น ไม่วอกแวก
เมื่อ มีการสัมภาษณ์พนักงาน Facebook หลายๆ คนเกี่ยวกับการทำงานของ Mark Zuckerberg คำตอบที่ได้ยินมามากที่สุดคือ Mark เป็นคนที่ “มุ่งมั่น” มากๆ เขามีเป้าหมายเดียวคือทำให้โลกทั้งใบ กับคนหลายพันล้านคน เชื่อมเอาไว้ในเว็บไซต์ของเขา และการตัดสินใจทุกอย่างของเขา มีขึ้นเพื่อเป้าหมายนี้เป้าหมายเดียว และนั่นทำให้เขามีวันนี้ได้ ถือเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของผู้นำ
8. พวกเขารักการเรียนรู้
การ ที่คุณ “รวย” หรือ “ประสบความสำเร็จ” ในระดับหนึ่งแล้ว ไม่ได้หมายความว่าคุณควรหยุด “เรียนรู้” และนี่คือ สิ่งที่คนเหล่านี้มี พวกเขารักที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิต พวกเขาจัดสมนาบ่อยๆ เพื่อเปิดรับฟังความเห็นจากหน่วยงานอื่น องค์กรอื่น เพราะเขาคิดว่า ไอเดียดีๆ จะมาจากที่ไหน เวลาไหนก็ได้ เพราะฉะนั้น การเปิดรับตลอดเวลา คือสิ่งที่ฉลาดที่สุด
9. พวกเขารักการเรียนการสอน
วิธี ที่ดีวิธีหนึ่งในการทำให้คุณเก่งขึ้น มีทักษะในเรื่องที่คุณทำมากขึ้น คือการถ่ายทอดให้คนอื่นฟัง และนี่คือสิ่งที่นักธุรกิจเหล่านี้เป็น เขาจะสอนๆๆ คนในทีมของเขา ซึ่งนอกจากการทำให้คนในทีมเก่งขึ้นแล้ว ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทีมอีกด้วย

                                                        บิล เกตส์ Bill Gates
10. ไม่กลัวที่จะ “ล้มเหลว”
ข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาไม่กลัวว่าจะล้มเหลว บิล เกตส์ Bill Gates เคย บอกไว้ว่า “มันเป็นเรื่องดีที่คุณสามารถฉลองในความสำเร็จได้ แต่คุณไม่ควรลืมที่จะใส่ใจในความล้มเหลวของคุณ เพราะการเรียนรู้จากความล้มเหลวเนี่ยแหละ คือสิ่งที่จะทำให้คุณก้าวหน้าต่อไปได้เรื่อยๆ”
เป็นยังไงคะ กับ 10 นิสัยสุดเจ๋ง ที่นักธุรกิจอายุน้อยเค้าคิดและเป็นกัน เพื่อนๆ น้องๆ วัยรุ่นสามารถนำไอเดียเหล่านี้ไปปรับใช้หรือวางแผนชีวิตล่วงหน้าได้ตั้งแต่ ตอนนี้เลยนะคะ ไม่แน่นะว่า คุณเองอาจจะเป็น นักธุรกิจร้อยล้าน ที่มีอายุน้อยคนต่อไปก็เป็นได้…
เรียบเรียง teen.mthai.com
ข้อมูล : Lifehack, kiitdoo

 

11 เรื่องที่โรงเรียนไม่ได้สอนคุณ ข้อคิดดีๆ by BillGate

กฎข้อที่ 1 ชีวิตนี้ไม่ยุติธรรมนักหรอก ทำความเคยชินกับมันซะเถอะ

ความจน ไม่ใช่กรรมพันธุ์ ถึงเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะลิขิตตัวเองได้
ลองเปิดโอกาสให้ตนเองนะครับ

กฎข้อที่ 2 โลกไม่สนใจหรอก ว่าคุณจะมั่นใจในตัวเองแค่ไหน 
แต่โลกนี้คาดหวัง ‘ความสำเร็จ’ ที่เกิดจากความมั่นใจของคุณต่างหาก

เดวิด ชวาร์ท เคยกล่าวไว้ว่า 
“ความคิดที่ยอดเยี่ยมไม่เพียงพอ แต่ความคิดที่พอใช้ได้ ซึ่งมีการปฏิบัติและ
พัฒนานั้น ย่อมดีกว่าความคิดที่ดีเลิศ แต่ตายไปเพราะไม่ได้รับการติดตามร้อยเปอร์เซนต์”

กฎข้อที่ 3 ไม่มีทางที่คุณจะทำเงินได้ปีละ 60,000 เหรียญ 
ทันทีที่เพิ่งจบมัธยม และ ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้เป็นประธานบริษัทที่มีรถประจำตำแหน่งพร้อมโทรศัพท์ใน รถส่วนตัวด้วย

ความสำเร็จมีขั้นตอน อย่าใจร้อน
กฎข้อที่ 4 ถ้าคุณคิดว่า อาจารย์กำลังสอนบทเรียนอันน่าเบื่อ 
ลองไปทำงานแล้วเจอกับเจ้านายสิ

กฎข้อที่ 5 การคิดคำแสลงใหม่ ๆ ไม่ใช่เรื่องผิด 
เพราะปู่ย่าตายายของคุณก็เคยทำมาก่อน

กฎข้อที่ 6 ชีวิตที่ยุ่งเหยิงของคุณ ไม่ใช่ความผิดของพ่อแม่ 
เลิกคร่ำครวญเกี่ยวกับสิ่งที่พลาดไปแล้ว แต่จงเรียนรู้จากมัน
ไม่มีคนที่ประสบความสำเร็จคนไหน ที่ไม่เคยล้มเหลวมาก่อน

กฎข้อที่ 7 ก่อนที่คุณจะเกิด พ่อแม่ไม่ได้น่าเบื่อเหมือนที่คุณรู้สึกตอนนี้ 
พวกเขาต้องทำงานอย่างหนัก มาจ่ายบิลต่าง ๆ ต้องซักเสื้อผ้าให้กับคุณ 
พวกเขาต้องอดทนฟังคุณคุยอวดในเรื่องไม่เข้าท่า ดังนั้น ถ้าคุณคิดจะทำเรื่องใหญ่ ๆ 
อะไรก็ตาม ช่วยเก็บตู้เสื้อผ้ารก ๆ ของคุณซะก่อนดีกว่าไหม

กฎข้อที่ 8 ชีวิตในโรงเรียนอาจตัดสินคุณว่าเป็นผู้ชนะหรือแพ้ แต่ชีวิตจริง ‘ไม่ใช่’ 
เพราะบางโรงเรียนสอนการเป็นผู้แพ้ด้วยซ้ำไป แถมยังให้โอกาสคุณมากมายในการลองผิดลองถูก 
กฎข้อที่ 9 ชีวิต ไม่ได้แบ่งเป็นเทอมๆ ไม่มีช่วงซัมเมอร์ให้คุณไปค้นหาตัวตน

กฎข้อที่ 10 สิ่งที่เกิดขึ้นในโทรทัศน์ ไม่ใช่ชีวิตจริง เพราะในชีวิตจริง ผู้คนต้องรีบเช็คบิลจากร้านกาแฟ และตรงดิ่งไปทำงาน

กฎข้อ 11 เป็นมิตรกับความ ‘เนิร์ด’ แล้ว ชีวิตคุณจะไม่ต้องเป็นลูกจ้างใครอีกต่อไป

‘เนิร์ด’หมายถึงคนที่ทำอะไรด้วยความชอบ
นี่เป็นแนวคิดดี ๆ จากผู้ที่ประสบความสำเร็จระดับโลก 
เพื่อนๆ ลองเอาแนวคิดดี ๆ นี้ ไปปรับใช้ดูนะครับ
หวังว่าคงเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่านนะครับ